วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การเขียนกระทู้ ธรรมศึกษาตรี

วิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม
ธรรมศึกษา ชั้นตรี
********
บทนำ
              การเรียงความแก้กระทู้ธรรม เป็นการแสดงออกซึ่งความรู้ความเข้าใจความคิด และความรู้สึก  ของผู้เขียนซึ่งได้มาจากการศึกษาวิชาธรรมะ พุทธะ และเบญจศีลเบญจธรรม  ว่าสามารถจะถ่ายทอดความรู้ ความเข้าใจ  ความคิดและความรู้สึกออกไปสู่ผู้อื่นได้ดีหรือไม่
              การเรียนรู้วิชาธรรมะ พุทธะ และเบญจศีลเบญจธรรม เปรียบเหมือนนักเรียนไปเก็บเอาดอกไม้ที่ ต่างสีต่างขนาดมากองรวมกันไว้ ส่วนการเรียงความแก้กระทู้ธรรม  เปรียบเหมือนนักเรียนคัดเอาดอกไม้เหล่า นั้นมาปักแจกันจะทำได้สวยงามแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนที่จะแต่งอย่างไร
              ตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา การเขียนหรือการพูดที่จัดว่าดีนั้นต้องเกิดประโยชน์แก่ ผู้อ่านหรือผู้ฟัง ๔ ประการ คือ  ๑. ได้ความรู้ความเข้าใจ ๒. เกิดความเลื่อมใสใคร่ปฏิบัติตาม   ๓. กล้าทำความดี  ๔. มีความบันเทิงใจไม่เบื่อหน่าย
              ๑. ผู้อ่านหรือผู้ฟังจะได้รับความรู้ ความเข้าใจนั้น ผู้เขียนและผู้พูดจะต้องมีความรู้ความเข้า ใจ ในเรื่องนั้นเป็นอย่างดีเสียก่อน  สรุป สั้น ๆ  คือ  จำได้  เข้าใจชัด  ปฏิบัติถูกต้
              ๒.  ผู้อ่านหรือผู้ฟังจะเกิดความเลื่อมใสใคร่ปฏิบัติตามผู้เขียนหรือผู้พูดจะต้องชี้แจงให้เห็นโทษ ของการไม่ปฏิบัติอย่างนั้นว่า ไม่ดีอย่างไร
              ๓.  ผู้อ่านหรือผู้ฟังจะกล้าทำความดีผู้เขียนหรือผู้พูดจะต้องชี้แจงให้เห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของ การปฏิบัติอย่างนั้นว่า ดีอย่างไร
              ๔.  ผู้อ่านหรือผู้ฟังจะมีความบันเทิงใจไม่เบื่อหน่ายก็เพราะได้รับความรู้ความเข้าใจเห็นโทษของ การ ไม่ปฏิบัติ   และเห็นคุณประโยชน์ของการปฏิบัตินั้น ๆ  นั่นเอง 
              ฉะนั้น   วิชากระทู้ธรรมจึงเป็นวิชาที่สำคัญน่าศึกษาวิชาหนึ่ง  เพราะเป็นการเอาวิชาที่เรียนแล้วมา
ประติดประต่อให้ได้ใจความสอดคล้องกับกระทู้ธรรมตามที่สนามหลวงออกมา เป็นการแสดงให้เห็นถึงความรู้  ความเข้าใจ  ความคิดและความรู้สึกที่แท้จริงของผู้เขียน   และเป็นเหตุให้เกิดความรู้ความเข้าใจ  ความคิด  และความรู้สึกแก่ผู้อื่นด้วย  นักเรียนจึงควรเอาใจใส่ฝึกคิด  ฝึกเขียน  ฝึกพูดบ่อย ๆ  จะ  ได้เป็นคนดีมีความสามารถ  โปรดนึกถึง พุทธภาษิตบทหนึ่งอยู่เสมอว่า ทนฺฺโต เสฏฺฺโฐ มนุสฺฺเสสุ  ผู้ฝึกฝนตน  (อยู่เสมอ)  เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในมวลมนุษย์

หลักเกณฑ์การแต่งกระทู้

              ผู้จะแต่งกระทู้จำเป็นจะต้องทราบหลักเกณฑ์ในการแต่งกระทู้ก่อนหลักเกณฑ์ในการแต่งกระทู้นั้น      ผู้ศึกษาพึงทราบตามที่สนามหลวงแผนกธรรมได้วางเป็นหลักเอาไว้ดังข้อความว่า
              แต่งอธิบายให้สมเหตุสมผลอ้างสุภาษิตอื่นมาประกอบด้วย ๑ ข้อ  และบอกชื่อคัมภีร์ที่มาแห่ง สุภาษิตนั้นด้วย  สุภาษิตที่อ้างมานั้น  ต้องเรียงเชื่อมความให้สนิทติดต่อ     สมกับกระทู้ตั้ง
              ชั้นนี้ (ธรรมศึกษาชั้นตรี)  กำหนดให้เขียนลงในใบตอบ  ตั้งแต่    ๒  หน้า  (เว้นบรรทัด)  ขึ้นไป    

วิธีการแต่งกระทู้

              เมื่อทราบหลักเกณฑ์การแต่งกระทู้โดยย่อแล้ว  ต่อไปควรทราบวิธีการแต่งวิธีการแต่งกระทู้มีองค์
ประกอบ ใหญ่ ๆ ๓  อย่าง  คือ
              ๑.  คำเริ่มต้น ได้แก่คำว่า บัดนี้ จักอธิบายขยายความธรรมภาษิต  ที่ได้ยกขึ้นนิกเขปบท     เพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษา  และปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่เวลา  หรืออื่นใดตามที่เหมาะสม
              ๒.   คำขยายความ คืออธิบายเนื้อความแห่งธรรมภาษิต ซึ่งเป็นกระทู้ปัญหาพร้อมทั้งอ้างสุภาษิต อื่นมาประกอบอย่างน้อย ๑  ข้อ พร้อมทั้งบอกที่มาให้ถูกต้อง
              ๓. คำลงท้าย คือ สรุปเนื้อความที่ได้อธิบายมาแล้วโดยย่ออีกครั้งหนึ่ง ให้สอดคล้องกับ กระทู้ปัญหาจบลงด้วยคำว่า สมกับธรรมภาษิตว่า…หรือ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า…ตามความเหมาะสม (ช่องว่างที่เว้นไว้หมายถึง กระทู้ปัญหาพร้อมทั้งคำแปล)




ตัวอย่างแต่งกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี ชุดที่ ๑

กระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี

สอบในสนามหลวง

วันที่ ………พฤศจิกายน    พ..   ๒๕๔๖
พาลา     หเว     นปฺปสํสนฺติ     ทานํ
คนพาลเท่านั้น    ย่อมไม่สรรเสริญทาน
                  บัดนี้ จักได้อธิบายความแห่งกระทู้ธรรมตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้เพื่อเป็นแนวทางแห่ง การศึกษา  และปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม    สำหรับผู้สนใจใคร่ธรรมทุกท่าน
                  ทาน   หมายถึงการบริจาคสิ่งของของตน  คือ อาหาร น้ำดื่ม เสื้อผ้า  ผ้าห่ม ที่อยู่อาศัย       ยารักษาโรค    และของใช้ที่จำเป็นแก่ชีวิต     ให้แก่ผู้อื่น ด้วยวัตถุประสงค์  ๒   ประการคือ
                  ๑.   เพื่อช่วยเหลือ  เพื่ออุดหนุนบุคคลผู้ไม่มีหรือผู้ขาดแคลนสิ่งเหล่านั้น เช่น   ผู้ประสบภัย น้ำท่วม  ไฟไหม้  เด็กกำพร้า  คนชรา   เป็นต้น
                  ๒.   เพื่อบูชาคุณความดีของผู้ทรงศีล  ทรงธรรม ตัวอย่างเช่นพระสงฆ์
                  อีกอย่างหนึ่ง  ทาน  หมายถึง การงดเว้นจากการทำบาป   ๕  อย่าง 
ดังพระพุทธพจน์ว่า อริยสาวกในศาสนานี้เป็นผู้ละปาณาติบาต เว้นขาดจากปาณาติบาต เป็นผู้ละอทินนาทาน  เว้นขากจากอทินนาทาน    เป็นผู้ละกาเมสุมิจฉาจาร    เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร       เป็นผู้ละมุสาวาท
เว้นขาดจากมุสาวาท  เป็นผู้ละการดื่มสุราและอันเป็นเหตุแห่งความประมาท   ชื่อว่า  เขาได้ให้ความไม่มีภัย   ความไม่มีเวร  ความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิ  ได้เมื่อเขาให้ความไม่มีภัย    ความไม่มีเวร และความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ ตัวเขาเองก็เป็นผู้มีส่วนได้รับความไม่มีภัย     ความไม่มีเวร    และความไม่เบียดเบียนจากผู้อื่นหาประมาณมิได้เช่นเดียวกัน
                  ทั้ง ๕ นี้ จัดเป็นทานอันยิ่งใหญ่  เป็นทานที่เลิศกว่าทานทั้งหลาย เป็นวงศ์ของอริยชน    เป็นของเก่า    อันสมณพราหมณ์ผู้เป็นวิญญูชนไม่คัดค้าน    ไม่ลบล้าง
                    ทานทั้ง ๒ ประการ    คือ   การให้วัตถุสิ่งของมีอาหารเป็นต้น    และการให้อภัยมีการไม่ฆ่า เป็นต้นดังกล่าวมา    ช่วยรักษาชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้รอดพ้นจากความตายได้   อุทาหรณ์ที่เห็น ง่ายที่สุดคือ  เมื่อมนุษย์เกิดมามารดาบิดาให้น้ำนมดื่มให้ข้าวป้อน ดูแลรักษา และไม่มีคนมาฆ่า  เด็กทารกนั้น  จึงรอดตายและเจริญเติบโตได้     ตรงกันข้ามถ้ามารดาบิดา หรือผู้อื่นใดไม่ให้น้ำนม ข้าวป้อน  ดูแลรักษา หรือมีคนมาฆ่าเด็กทารกนั้นคงไม่รอดตายมาได้ เพราะในเวลานั้นเขายังไม่สามารถจะหาอะไรมารับประทาน ได้เอง และไม่สามารถจะต่อสู้กับใครได้อย่าว่าแต่ต่อสู้กับมนุษย์ตัวโต ๆ  เลย    สู้กับมดและยุง ก็ไม่ไหวแล้ว
                  เพราะฉะนั้น ทาน  จะในความหมายว่า ให้วัตถุสิ่งของแก่ผู้อื่นหรือให้อภัย คือ       ความไม่มีภัย  ไม่มีเวรไม่มีเบียดเบียนแก่ผู้อื่นก็ตาม ล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตทุกชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้มนุษย์ และสัตว์ รอดพ้นจากความตายมาได้  ดังกล่าวแล้ว          
                  ฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงได้กล่าวไว้ในสัตตกนิบาตชาดกในขุททกนิกายว่า ทเทยฺย ปุริโส ทานํ  แปลว่า  คนควรให้ทาน
                  แต่ทานทั้ง ๒ ประการนี้ ไม่ใช่จะให้กันได้ง่าย ๆ ทุกคนโดยเฉพาะคนพาล  คือ   คนที่ชอบทำชั่ว  ชอบพูดชั่ว ชอบคิดชั่ว ชอบทำชั่ว  คือชอบประพฤติกายทุจริต  คือ ฆ่าสัตว์    ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกาม  ชอบพูดชั่ว คือ  ชอบพูดเท็จ  ชอบพูดส่อเสียด   ชอบพูดคำหยาบ  ชอบพูดคำเพ้อเจ้อ  ชอบคิดชั่ว  คือ  ชอบโลภอยากได้ของผู้อื่น ชอบคิดร้ายต่อผู้อื่น  ชอบเห็นผิดเป็นชอบ  อย่างที่เรียกว่า  เห็นกงจักรเป็นดอกบัว  พฤติกรรมทั้งหมดนี้  ล้วนเป็นปฏิปักษ์ คือ  ตรงกันข้ามกับคุณธรรมที่เรียกว่า  ทานทั้ง  ๒  ประการนั้นทั้งสิ้น 
การเห็นคุณค่าของทานแล้วบริจาคสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ขาดแคลนหรือเพื่อบูชาความดีของผู้ทรงคุณความดีด้วยตนเองและชักชวนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติเช่นนั้นก็ดี การให้ความไม่มีภัยแก่ชีวิต ทรัพย์สิน และเกียรติยศชื่อเสียงของผู้อื่นก็ดี  ชื่อว่า สรรเสริญทาน  พฤติกรรมที่ดีเช่นนี้  จะทำได้ก็แต่คนดีมีศีล  มีกัลยาณธรรมเท่านั้น  ส่วนคนชั่ว คือ คนพาลนั้น ยากที่จะทำได้  สมกับพระพุทธพจน์    ในธรรมบทขุททกนิกาย ว่า      
สาธุ  ปาเปน  ทุกกรํ
คนชั่ว ทำความดียาก
                  คนพาลนั้นนอกจากจะไม่ให้ทานและไม่เห็นคุณค่าของทานแล้วยังทำอันตรายต่อทาน เช่นลักขโมย ทรัพย์สินของผู้บริจาคทานทุจริตคดโกงเอาเงินหรือสิ่งของที่ผู้ใจบุญบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยมาเป็นของตนเองเสียอีกด้วย  ดังได้ฟัง  ได้เห็น เป็นข่าวมากมาย
                  จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า  การที่คนพาลไม่ให้ทานไม่เห็นคุณค่าของทานทั้ง ๒ อย่าง  คือ   วัตถุทาน   และอภัยทานขัดขวางผู้บริจาคทาน  และทำอันตรายต่อทานด้วยการทุจริตคดโกง  ดังกล่าวมา  เป็นการกระทำ ที่แสดงออกถึงการไม่สรรเสริญทานตามธรรมภาษิตว่า     

พาลา  หเว  นปฺปสํสนฺติ   ทานํ

คนพาลเท่านั้น ย่อมไม่สรรเสริญทาน
ดังพรรณนามาฉะนี้แล ฯ

 

*****************
ตัวอย่างแต่งกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาตรี ชุดที่ ๒
สอบในสนามหลวง
วันที่……..พฤศจิกายน     พ.ศ.   ๒๕๔๖

สีลํ  โลเก   อนุตฺตรํ

ศีล  เป็นเยี่ยมในโลก
              บัดนี้ จักอธิบายความแห่งธรรมภาษิตว่าศีลเป็นเยี่ยมในโลก ตามความรู้ที่ได้ศึกษามาเพื่อเป็นแนว ทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติธรรมสืบต่อไป     
              สีล  ท่านผู้รู้อธิบายความหมายไว้หลายนัย  ดังนี้
                  ๑.   สีลนะ  แปลว่า    ความปกติ        หมายความว่า ควบคุมความประพฤติทางกาย     วาจา     ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยดีงามพ้นจากการเบียดเบียนกันและกัน และหมายความว่าสามารถรองรับความดีชั้น สูงทุกอย่าง เหมือนแผ่นดินรองรับของหนักมีมหาสมุทรและภูเขา เป็นต้นเอาไว้ได้โดยไม่มีความ ผิดปกติอะไร
                  ๒. สิระ แปลว่า ศีรษะ  หมายความว่า  เป็นยอดของความดี  เหมือนศีรษะเป็นอวัยวะ ที่อยู่สูงที่สุดของร่างกาย
                  ๓. สีสะ  แปลว่า ยิ่งใหญ่  คือมีความสำคัญ  หมายความว่า  ถ้าขาดศีลเสียแล้วคุณธรรม หรือความเจริญอย่างอื่นก็เกิดไม่ได้
                  ๔.   สีตละ     แปลว่า     มีความเย็น   หมายความว่า     ศีลสร้างความเย็นให้แก่จิตใจผู้รักษา    และสร้างความร่มเย็นให้แก่สังคม
                  ๕.     สิวะ  แปลว่า    ปลอดภัย   หมายความว่า    ศีล สร้างความไม่มีภัย      ความไม่มีเวร      และความไม่เบียดเบียนให้แก่สังคมมนุษย์
                  ศีลนั้นเมื่อใครรักษาได้จะทำลายวีติกกมกิเลส  คือ  กิเลสที่ล่วงละเมิดมาทางกาย      และวาจา  ทางกาย เช่นการฆ่าสัตว์ ทางวาจา  เช่น  การพูดเท็จ พร้อมกันนั้นก็ทำให้กาย วาจา และใจของ ผู้นั้นมีความสะอาดพ้นจากการกระทำการพูดและความคิดที่ทำให้ตนเองและผู้อื่นได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะศีลมีความดีอย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำชาวโลกให้รักษาศีล  ตาม พระพุทธพจน์ในขุททกนิกาย  อิติอุตตกะ     ว่า     
สีลํ   รกฺเขยฺย   เมธาวี
ผู้มีปัญญาพึงรักษาศีล
                  อนึ่ง ศีลจะเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยธรรม  ๒ ประการ คือ หิริความละอายแก่ใจในการทำบาปทุจริต    และโอตตัปปะ    ความสะดุ้งกลัวต่อผลร้ายอันจะเกิดจากการทำบาปทุจริตนั้น
                  ศีลนั้น      ย่อมขาดเพราะเหตุ     ๕     ประการ   คือ   ๑. ลาภ  ๒.   ยศ   ๓     ญาติ      ๔      อวัยวะ    ๕    ชีวิต  หมายความว่า      คนที่ทำผิดศีลก็เพราะปรารถนา    ๕    อย่างนี้   อย่างใด อย่างหนึ่ง  เช่น  อยากได้ เงินจึงลักขโมย  คดโกง  หรือฆ่าเจ้าของทรัพย์เป็นต้น
                  บุคคลย่อมรักษาศีลไว้ได้เพราะยึดมั่นสัมปุริสานุสติว่า   บุคคลพึงสละทรัพย์   เพื่อรักษาอวัยวะ   พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต   พึงสละทั้งทรัพย์  อวัยวะและชีวิตเพื่อรักษาธรรม
                  ผู้รักษาศีลได้บริสุทธิ์ไม่ให้ขาด  ไม่ให้ด่างพร้อย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า      จะได้รับอานิสงส์  คือ ผลดีแก่ตน   ๕   ประการ    คือ  ทำให้เกิดทรัพย์  เกียรติศัพท์ขจรไกล     เข้าที่ไหนอาจหาญ      สติมั่นไม่ลืมหลง      มุ่งตรงทางสวรรค์
                  จากการพรรณนามาโดยย่อนี้  ทำให้เห็นคุณสมบัติของศีลหลายประการด้วยกัน     เช่น
                  ศีล      ควบคุมความประพฤติทางกาย วาจา ให้เรียบร้อยพ้นจากการเบียดเบียนกัน
                  ศีล      เป็นเครื่องรองรับความสุขความเจริญต่าง ๆ
                  ศีล      สร้างความร่มเย็นให้แก่ชาวโลก
                  ศีล      ให้ความไม่มีภัย  ไม่มีเวร  และความไม่เบียดเบียนกัน
                  ศีล      ทำให้คนมีความประพฤติทางกาย      วาจา     ใจ     สะอาด   
                  ฉะนั้น   นักปราชญ์ทั้งหลายมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น จึงกล่าวว่า
สีลํ   โลเก   อนุตฺตรํ

ศีลเป็นเยี่ยมในโลก

ดังได้บรรยายมาด้วยประการฉะนี้ ฯ
************
ตัวอย่างแต่งกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาตรี ชุดที่ ๓
สอบในสนามหลวง
วันที่    พฤศจิกายน   พ.ศ.   ๒๕๔๖
สติ  โลกสฺมิ  ชาคโร
สติเป็นธรรมเครื่อง ตื่นอยู่ในโลก
                  บัดนี้ จักได้อธิบายความแห่งธรรมภาษิต ข้อว่า  สติเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก  เพื่อเป็นแนว ทางแห่งการศึกษาของผู้สนใจใฝ่ธรรมตามสมควรแก่เวลา
                  สติ แปลว่า ความระลึกได้ หมายถึงสภาพจิตใจที่รู้จักคิดว่าอะไรดี  อะไรชั่ว  แล้วกีดกัน เอาความชั่วออกไปรับเอาแต่สิ่งที่ดีมาสู่ตน
                  สติ เป็นศัพท์ที่ใช้ในความหมายที่ดี ถ้าจะใช้ในทางที่ไม่ดีให้เติม คำว่า มิจฉาที่แปลว่าผิดไว้ ข้างหน้า  เป็นมิจฉาสติ แปลว่า    ความระลึกผิด หมายถึงสภาพจิตใจที่รับเอาความไม่ดีมาสู่ตน    คือชอบ คิดแต่สิ่งที่ไม่ดี
                  สตินั้นมีลักษณะให้รู้ได้  ๒ อย่างคือ ๑  การเตือนใจ  หรือ  ๒.  การรับเอาแต่สิ่งที่ดี
                  ๑. การเตือนใจ หมายความว่า   สตินั้นจะเตือนใจว่าสิ่งนั้นดี  สิ่งนั้นไม่ดี   สิ่งนั้นมีประโยชน์     สิ่งนั้นไม่มีประโยชน์สิ่งนั้นควรทำสิ่งนั้นไม่ควรทำ เป็นต้น เปรียบเหมือนขุนคลังแก้ว คอยทูลเตือน พระเจ้าจักพรรดิ์ให้ทรงทราบอยู่ตลอดเวลาว่าในท้องพระคลัง มีเงินเท่านั้นมีทองคำเท่านั้นมีพลช้างพลม้า       พลรถ  พลราบเท่านั้น  เพื่อจะได้ไม่ทรงประมาท   แล้วรับสั่งให้จัดหามาให้พร้อมอยู่เสมอ
                    ๒.  การรับเอาแต่สิ่งที่ดีนั้น  หมายความว่า   สตินั้นจะรับเอาแต่สิ่งที่ดีเท่านั้นให้เข้ามาสู่ชีวิต จิตใจ    พร้อมกันนั้นจะคอยป้องกันขับไล่สิ่งที่ไม่มีทั้งหลายไม่ให้เข้ามา  เปรียบเหมือนทหารยามผู้ฉลาด ของพระราชาห้ามคนร้ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระราชาไม่ให้เข้าไปสู่ประตูพระราชวังจะอนุญาตเฉพาะคนที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์เท่านั้นให้เข้าไป
                  เพราะสติคอยช่วยเตือนใจให้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรมีประโยชน์อะไรไม่มีประโยชน์แล้วให้ รับเอาแต่สิ่งที่ดีที่มีประโยชน์เข้ามาสู่ชีวิตจิตใจ และป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่มีประโยชน์ให้พ้นไป      จึงเป็นธรรมมี อุปการะมาก    ควรปรารถนาในกิจทุกอย่างในที่ทุกสถาน     และในกาลทุกเมื่อ     สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส  จึงทรงสอนว่า 
สติ   สพฺพตฺถ   ปตฺภิยา  
สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง
                  สตินั้น บางครั้งเกิดขึ้นเองก็ได้เช่นนักเรียนบางคนคิดไปโรงเรียน   เรียนหนังสือและทำการบ้าน ได้เอง ไม่ต้องเป็นภาระให้ใครมาเตือนมาบ บางครั้งต้องได้รับคำเตือนจึงเกิด เช่น  นักเรียนบางคนต้อง ให้บิดามารดาเตือนจึงเกิดสติที่จะไปโรงเรียน     เรียนหนังสือ และทำการบ้าน
                  ดังนั้นนักปราชญ์จึงได้สอนวิธีสร้างสติไว้หลายวิธีด้วยกัน   แสดงพอเป็นตัวอย่างดังนี้
                  ความรู้ หมายความว่า ความรู้วิชาการต่าง ๆ  ช่วยให้เกิดสติระวังตัวได้ เช่นผู้มีความ รู้เรื่องไฟฟ้า      ย่อมระวังตัวให้พ้นอันตรายจากไฟฟ้าได้
                  คำเตือน  เช่น  โอวาทต่าง ๆ สุภาษิตต่าง ๆ  ที่มีความหมายเตือนใจในเรื่องนั้น ๆ
                  ทำเครื่องหมาย เช่น  ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ทางโค้งอันตรายหรือมีคนและสัตว์ มักข้ามถนนตรงนั้น ก็จะทำเครื่องหมายบอกเอาไว้
                  บันทึกเหตุการณ์เช่นเกิดเหตุการณ์ที่สำคัญ หรือแม้เกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียน ให้จดบันทึกเอาไว้
                  คิดถึงสิ่งที่เหมือนกัน เช่น จะจำชื่อคน หรือเนื้อหาวิชาต่าง ๆ ให้คิดถึงว่าคนนั้นมีชื่อ เหมือนใครที่เราเคยรู้จัก หรือเนื้อหาวิชานั้น เหมือนหรือคล้ายวิชาอะไรที่เราเคยจำได้เคยเข้าใจ  เป็นต้น
                  สตินั้น ช่วยให้คนเกิดความตื่นตัวที่จะทำความดี  หลีกหนีความชั่วและภัยอันตรายทั้ง ทางโลกและทางธรรม  ทางโลกนั้นพึงเห็นตัวอย่าง  เช่น นักเรียนบางคนคิดว่าคนจะได้ดีมีความสุขในภายหน้า  เพราะอาศัยวิชาความรู้ จึงขยันไปโรงเรียนขยันเรียนหนังสือ ขยันทำการบ้าน ขยันช่วยพ่อแม่ทำงาน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่เที่ยวแต่เสเพล ส่วนคนหนุ่มสาวคิดถึงความจริงของชีวิตว่า คนเราสุดท้ายต้องแก่  และต้องเจ็บ  จึงขยันทำงาน  หนักเอาเบาสู้ ไม่อยู่เฉย ได้ทรัพย์สินเงินทองมาก็รู้จักประหยัดและออมเอาไว้ใช้  เมื่อเวลาแก่เฒ่า   และยามเจ็บไข้   อย่างนี้ชื่อว่า  มีสติในทางโลก
                  ส่วนทางธรรมนั้นพึงเห็นตัวอย่างเช่นเจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นคนแก่คนเจ็บ       และคนตายแล้ว เกิดความคิดว่า  พระองค์เองก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ  และ ต้องตายเหมือนกัน จึงทรงเลิกหมกมุ่นเรื่องกามคุณ แล้วเสด็จออกผนวชจนได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้ชื่อว่า   มีสติในทางธรรม
                  สติช่วยให้คนตื่นจากความลุ่มหลงมัวเมาความประมาท      ที่ยังเป็นเด็กก็ช่วยเตือนให้เอาใจ
ใส่ศึกษาเล่าเรียน      เป็นหนุ่มสาวก็ช่วยเตือนให้ขยันทำงาน      คนทั่วไปก็ช่วยเตือนให้       ทำความดี     หนีความชั่ว     องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า      
สติ   โลกสฺมิ   ชาคโร
สติเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก
ดังได้บรรยายมาด้วยประการฉะนี้ ฯ

 

*************
ตัวอย่างแต่งกระทู้ธรรม  ธรรมศึกษาชั้นตรี ชุดที่ 4
สอบในสนามหลวง
วันที่.....เดือน..................พ.ศ.............
ปาปานํ   อกรณํ   สุขํ
              การไม่ทำบาป  นำสุขมาให้             
              บัดนี้ จักอธิบายความแห่งพุทธภาษิต  ว่า การไม่ทำบาปนำสุขมาให้ ตามระเบียบปฏิบัติของ สนามหลวงแผนกธรรม     และความรู้ที่ได้ศึกษามา
              พระพุทธภาษิตนี้  ผู้ศึกษาควรทราบอรรถวิภาค   คือ    การจำแนกเนื้อความเป็น   ๔   ประการ     คือ  ๑.   บาป    ๒.     สิ่งที่จัดว่าเป็นบาป     ๓.   การทำบาป     ๔.   การไม่ทำบาป     นำความสุขมาให้
              คำว่า  บาป  หมายถึงความไม่ดีทุกอย่าง  เช่น อกุศล  โทษ  ความผิด  ทุจริต  เวร     ธรรมดำ  ทุกข์  ยาก  ลำบาก  เหน็ดเหนื่อย  เจ็บปวดความชั่ว เป็นต้น  ดังนั้นจึงมักพูดศัพท์เดิมว่า      บาป     หรือถ้าจะแปลก็มักจะแปลว่า  ความชั่ว  อันหมายถึงความไม่ดีนั่นเอง  ส่วนท่านผู้รู้คัมภีร์ ศัพทศาสตร์ ให้ความหมาย ของคำว่าบาปไว้หลายนัย  เช่น สิ่งที่คนดีทั้งหลายพึงป้องกันตัวเอาไว้ให้ห่างไกล หรือสิ่งที่เป็น เหตุให้คนถึงอบาย  คือกลายสภาพเป็นดิรัจฉาน เปรต สัตว์นรก และ อสุรกาย  เป็นต้น    
              สิ่งที่จัดว่าเป็นบาปนั้น พระพุทธศานาจัดสิ่งที่เป็นบาปไว้ตามโทษหนักเบาดังนี้  บาปที่มีโทษ หนักที่สุด  คือ  นิยตมิจฉาทิฏฐิ  แปลว่า  ความเห็นที่แน่นอนดิ่งลงไป  แก้ไขไม่ได้  ๓ อย่าง     คือ   อกิริยทิฏฐิ  เห็นว่าทำบาปหรือทำบุญ  ก็เป็นเพียงแต่กิริยาที่ทำเท่านั้น  ไม่ได้เป็นบาปหรือเป็นบุญดังที่ศาสนา ทั้งหลายสอนเลย อเหตุกทิฏฐิเห็นว่า ความสุขหรือความทุกข์ของมนุษย์ล้วนเกิดขึ้นเอง    ไม่ได้เกิดมาจาก เหตุใด ๆ ทั้งสิ้น นัตติกทิฏฐิ  เห็นว่าไม่มีอะไร  คือ บาปก็สูญ บุญก็สูญ   คนตายแล้วก็สูญ
              บาปที่มีโทษหนักรองจากนั้นได้แก่ อนันตริยกรรม ๕ อย่าง  คือ มาตุฆาต  ฆ่ามารดา ๑     ปิตุฆาต  ฆ่าบิดา ๑   อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๑  โลหิตุปบาท  ทำร้ายพระศาสดาจนถึงพระโลหิตห้อขึ้น ๑  สังฆเภท  ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ๑ ทั้ง  ๕  ประเภทนี้  ใครทำหลังจากตายไปต้องตกนรกทันที
              บาปที่มีโทษถึงนำไปสู่อบายก็ได้ ที่ทำให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน เช่น ทำให้อายุสั้น      มีโรคมาก  ยากจนเข็ญใจ  เป็นต้น  ก็ได้  มี  ๑๐  อย่าง เป็นการกระทำทางกาย  ๓  อย่าง   คือ     ฆ่าสัตว์  ๑  ลักทรัพย์  ๑  ประพฤติผิดในกาม  ๑  เป็นการพูดทางวาจา  ๔  อย่าง   คือ  พูดเท็จ   ๑     พูดส่อเสียดทำให้คนแตกสามัคคีกัน ๑  พูดคำหยาบ ๑  พูดเพ้อเจ้อ  ทำให้ผู้อื่นเชื่อถือเองไร้สาระ  ๑     เป็นความคิดชั่วทางใจ ๓ อย่าง คือ โลภอยากได้ของคนอื่นอย่างผิดศีลธรรม ๑ คิดร้ายทำลายผู้อื่น ๑     มีความเห็นผิดไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ๑  
              การทำบาป  หมายถึง  การทำ การพูด  และการคิด  สิ่งที่จัดว่าเป็นบาปเหล่านี้เอง  คือ      ถือมั่นมิจฉาทิฏฐิทั้ง ๓  อย่าง  หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง กระทำอนันตริยกรรมมีการฆ่ามารดาบิดาเป็นต้น      หรือทำกายทุจริต  ๓  พูดวจีทุจริต ๔  และมีใจประกอบด้วยมโนทุจริต  ๓  ดังกล่าวแล้ว
              การทำบาปต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดความทุกข์  ความเดือดร้อนทั้งแก่ผู้ทำ และบุคคลอื่นผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ชอบทำที่เป็นเช่นนี้  ก็เพราะคนส่วนมาก ยังมีบาปอยู่ในใจคนที่มีเชื้อบาปอยู่ในใจย่อมทำ ความชั่วได้ง่าย  สมดังที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ไว้ในขุททกนิกาย     อุทานว่า      
ปาปํ  ปาเปน  สุกรํ
ความชั่ว อันคนชั่ว ทำง่าย
              บาปที่ทำนั้น  อย่างหนักทำให้ตกโลกันตริกนรก  รองลงมาทำให้ตกนรกอเวจี  รองลงมาจากนั้น  ทำให้กลายสภาพเป็นดิรัจฉาน  เป็นเปรต  เป็นอสุรกาย  หรือเบากว่านั้นถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์     ก็จะทำให้มีอายุสั้น มีโรคเบียดเบียน  ทำกินไม่ขึ้นมีอุปสรรค    ประสบภัยอันตรายต่าง ๆ  เป็นต้น
              ส่วนการไม่ทำบาป  คือ   เป็นคนที่มีสัมมาทิฏฐิ  มีความคิดเห็นที่ส่งเสริมศีลธรรม  งดเว้นเด็ดขาดจากอนันตริยกรรม  และเว้นขาดจากการฆ่าสัตว์  การลักทรัพย์  การประพฤติผิดในกาม       การพูดเท็จ  การพูดส่อเสียด  การพูดคำหยาบ  การพูดเพ้อเจ้อ  การโลภอยากได้อย่างผิดศีลธรรม     ความคิดร้ายทำลายผู้อื่น  ย่อมนำความสุขมาให้ทั้งแก่ตนเอง  ครอบครัวและสังคม
              จากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา     ดังได้บรรยายมาแต่โดยย่อนี้ พอสรุปใจความได้ว่า  ความสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้  อันดับแรกต้องเว้นจากการทำบาป  คือ  ความชั่วเสียก่อน        เหมือนคนจะแต่งตัวให้สวยงาม   ต้องอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเสียก่อน  เพราะถ้าเนื้อตัวสกปรก              จะแต่งอย่างไรก็คงไม่งาม  ความสุขของมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน  ถึงแม้จะมีทรัพย์สินเงินทอง  ยศศักดิ์มากมายอย่างไร  ถ้าไม่มีการงดเว้นจากการทำบาป  เช่นฆ่าฟัน   ประหัดประหารกัน เป็นต้น   ก็ยากที่จะหาความสุขได้อย่างแท้จริง  ดังนั้น  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงทรงสอนว่า
ปาปานํ   อกรนํ  สุขํ

การไม่ทำบาปนำความสุขมาให้

ดังได้บรรยายมาด้วยประการฉะนี้ ฯ

**********
ตัวอย่างแต่งกระทู้ธรรม  ธรรมศึกษาชั้นตรี ชุดที่ 5
สอบในสนามหลวง
วันที่………..เดือนพฤศจิกายน ……..  ๒๕๔………
ปุญฺญํ     โจเรหิ     ทูหรํ
บุญอันโจรนำไปไม่ได้

              บัดนี้  จักอธิบายความแห่งพุทธภาษิตว่า  บุญอันโจรนำไปไม่ได้  พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษา
พระธรรมของสาธุชนทั้งหลาย  ตามสมควรแก่ความรู้ที่ได้ศึกษามา
              บุญ  หมายถึง  กุศล  สุจริต  กรรมดี  ความดี  ธรรม และธรรมฝ่ายขาว  หรือกล่าวโดยรวมว่า     บุญเป็นชื่อของความดีทุกอย่าง     อันตรงกันข้ามกับบาปที่เป็นชื่อของความไม่ดีทุกอย่าง
              ท่านผู้รู้คัมภีร์ศัพทศาสตร์ให้ความหมายว่า  บุญ แปลว่า เครื่องชำระล้างจิตใจให้สะอาด     หรือแปลว่าสภาพที่ก่อให้เกิดความน่าบูชา  อธิบายว่า  บุญคือการบริจาคทาน  การรักษาศีล และการเจริญ ภาวนา เป็นต้น ใครกระทำโดยติดต่อไม่ขาดสาย    ย่อมทำให้จิตใจของเขาปราศจากความโลภ     ความโกรธ  ความหลงหรือยิ่งทำไปนาน ๆ จนเป็นบารมีเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  หรือพระอรหันตสาวก ก็จะกำจัดกิเลสได้เด็ดขาด  เป็นพระอรหันต์เป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์อย่างแท้จริง และผู้ที่ไม่มีกิเลส คือ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลงนั้น  ย่อมจัดเป็นปูชนียบุคคล  คือ  บุคคลที่น่าบูชา  ทั้งของเทวดาและมนุษย์
              เมื่อบุญ  คือความดีจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำ  การทำบุญนั้น  ก็เหมือนกับการทำงานทั่วไป     คือต้องมีอุปกรณ์ได้แก่เครื่องมือ  เหมือนนักเรียนมาเรียนหนังสือ  ต้องมีเครื่องมือ  เช่น  หนังสือ     สมุด  ปากกา  เป็นต้น  อุปกรณ์สำหรับใช้ทำบุญใหญ่ ๆ มี ๔  อย่าง  คือ  ๑.  ทานวัตถุ  ของสำหรับใช้บริจาคทาน  พระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้  ๑๐  อย่าง  คือ  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยานพาหนะ  ดอกไม้ของหอม  ของลูบไล้  ที่นอน  ที่พัก  ประทีป  ๒. กาย  คือร่างกายทุกส่วน  ๓. วาจา คือ  ปาก  ๔. ใจ     คือความคิด  
              เมื่อพูดถึงเรื่องทำบุญ พุทธศาสนิกชนไทยโดยมากมักรู้จักเพียงอย่างเดียว  คือ การบริจาคทาน  จึงเป็นเหตุให้บางคนรู้สึกกลัวบุญเพราะทำบุญทีไรจะต้องเสียทรัพย์ทุกครั้ง บางคนรู้สึกว่า ตนเองไม่มีโอกาส จะได้ทำบุญกับเขา  เพราะไม่มีทรัพย์สินเงินทอง  แต่ความจริงแล้ว  ทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่อุปกรณ์ สำหรับทำบุญที่สำคัญเลย  อุปกรณ์สำหรับทำบุญที่สำคัญ คือ  กาย  วาจา ใจ      ของแต่ละบุคคลนั่นเอง
              กายของนักเรียนที่เว้นจากการฆ่าสัตว์  การทำร้ายกัน  การลักขโมย  การประพฤติผิดในกาม  หรือที่ใช้ทำสิ่งอันเป็นประโยชน์  เช่น  ขยันไปโรงเรียน  ขยันเรียนหนังสือ   ขยันทำการบ้าน  ขยันช่วย พ่อแม่ทำงาน  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด  ช่วยเหลือสังคม  ช่วยรักษาความสะอาดบริเวณโรงเรียน เป็นต้น  วาจาหรือปากใช้พูดแต่คำสัตย์จริง พูดให้คนเกิดความสามัคคีกลมเกลียวกัน  พูดคำสุภาพเรียบร้อย  พูดเรื่อง ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง  ใจมีความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่คิดโลภอยากได้ของใคร  ไม่คิดร้ายทำลายใคร   ไม่อิจฉาริษยาใคร  เชื่อฟังพ่อแม่ครูอาจารย์  เพียงเท่านี้  กาย  วาจา  และใจ  ของนักเรียนก็สามารถ สร้างมนุษย์สมบัติ  สวรรค์สมบัติ  ให้แก่นักเรียนเองแก่บิดามารดาและครูอาจารย์ได้แล้ว  โดยที่ ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองเลย  และพระพุทธศาสนาจัดว่าเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่กว่าการบริจาคทานอีกด้วย
              เพราะบุญหมายถึงความดีทุกอย่าง  บุญจึงมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ทุกคน  เพราะ ๑. เป็นเหตุ ให้ได้เกิดในคติภพที่ดี ๒. ช่วยคุ้มครองรักษาชีวิตให้รอดพ้นจากภัยอันตรายต่าง ๆ    ๓.  ช่วยนำพา วิถีชีวิต ไปสู่ความสำเร็จ  และเจริญก้าวหน้าในสิ่งที่ตนปรารถนา  ๔. เป็นเหตุให้จิตใจเกิดความร่มเย็นเป็นสุข  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พุทธศาสนิกชนได้หมั่นทำบุญเอาไว้เสมอเมื่อมีโอกาส   แม้ว่าจะเป็นบุญเพียงเล็กน้อยก็ตามดังพระพุทธพจน์ว่า  “อย่าดูหมิ่นบุญว่ามีประมาณน้อย เมื่อไรจะมาถึงเรา หยดน้ำที่หยดลงทีละหยดยังทำภาชนะมีตุ่มเป็นต้นให้เต็มได้  ฉันใด  คนผู้ฉลาดทำบุญอยู่เสมอ  ก็ย่อมเต็ม ด้วยบุญฉันนั้น
              อนึ่ง พระพุทธองค์ตรัสผลดีที่เกิดจากอานุภาพบุญไว้ในจูฬกัมมวิภังคสูตร  กล่าวโดย สรุปเพื่อจำง่ายดังนี้
              อายุยืนเพราะเว้นการเข่นฆ่า     ไร้โรคาเพราะไม่ทำร้ายสัตว์
              มีผิวพรรณงามเลิศเจิดจำรัส     เพราะกำจัดความโกรธรู้อดใจ
              ยศศักดิ์สูงเพราะใจไม่ริษยา     มีโภคาเพราะทานคือการให้
              สกุลสูงเพราะเจียมเสงี่ยมใจ     ปัญญาไวเพราะคบหาปัญญาชน
              บุญเป็นเหตุให้เกิดความสุขความเจริญ  และความอยู่รอดปลอดภัยแห่งชีวิต  ดังกล่าวมานี้     บุญจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ  สมดังพุทธภาษิตในติกนิบาต   อังคุตตรนิกายว่า
ปุญญานิ     กิริยาถ     สุขาวหานิ

ควรทำบุญอันนำสุขมาให้

              บุญนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว  ใครทำใครได้ ดังพระพุทธพจน์ว่า ความหมดจด (ความดี) หรือความเศร้าหมอง (ความชั่ว) เป็นเรื่องเฉพาะตน คนอื่นทำคนอื่นให้หมดจดหรือให้เศร้าหมองไม่ได้     ตัวอย่างง่าย ๆ   สมมติว่า  นักเรียน  ๒  คน  เป็นเพื่อนรักกัน  คนหนึ่งเรียนเก่ง  คนหนึ่งเรียนไม่เก่ง     คนเรียนเก่งสงสารเพื่อนอย่างไร ก็ไม่สามารถจะแบ่งเอาความเก่งของตนไปให้เพื่อนได้หรือเพื่อนที่เรียนไม่เก่ง จะคิดแย่งชิงโดยการลักขโมย  ปล้นจี้เอาความเก่งไปจากเพื่อนก็ไม่ได้เหมือนกัน  มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น  คือถ้าอยากเก่งต้องขยันหมั่นเพียรฝึกฝนด้วยตนเองจะไปขอหรือแย่งชิงเอาจากคนอื่น เหมือนกับสิ่ง ของไม่ได้
              เรื่องบุญที่ได้อธิบายมาโดยย่อพอสรุปได้ดังนี้  คำว่าบุญ เป็นชื่อของความดีที่ควรทำทุกอย่าง  เครื่องมือทำบุญที่สำคัญที่สุดคือ  กาย  วาจา  ใจ ของตน  บุญเป็นความดีเฉพาะตน  ใครทำใครได้  ดังคำพูดว่าความดีไม่มีขาย  ใครอยากได้ต้องทำเองบุญที่ได้ทำไว้แล้วเป็นสิ่งวิเศษ     สามารถเก็บ เอาสมบัติ ทุกอย่างทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ  นิพพานสมบัติไว้ภายในได้มากมาย     ไม่เป็นภาระที่ต้องแบกหาม  โจรแย่งชิงเราไปไม่ได้  ยิ่งใช้ยิ่งมีมาก  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
ปุญญํ  โจเรหิ   ทูหรํ
บุญอันโจรนำไปไม่ได้
ดังได้บรรยายมาด้วยประการฉะนี้ ฯ
***********
พุทธศาสนสุภาษิต
หลักสูตรธรรมศึกษาชั้นตรี
.  ทานวรรค คือ  หมวดทาน
              ๑.    ทานญฺจ  ยุทฺธญฺจ  สมานมาหุ.
                      ท่านว่า   ทานและการรบ  เสมอกัน
                      สํ.   ส.   ๑๕ / ๒๙   ขุ.   ชา.   อฎฺฐก.    ๒๗ / ๒๔๙.
              ๒.    นตฺถิ  จิตเต  ปสนฺนมฺหิ       อปฺปกา  นาม  ทกฺขิณา.
                      เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว     ทักขิณาทานชื่อว่าน้อย     ย่อมไม่มี.
                      ขุ.   วิมาน.   ๒๖ / ๘๒.   
              ๓.    วิเจยฺย    ทานํ     สุคตปฺปสตฺถํ.
                      การเลือกให้     อันพระสุคตทรงสรรเสริญ
                      สํ. ส. ๑๕ / ๓๐. ขุ. ชา. อฏฺฐก. ๒๗ / ๒๔๙.  เปต. ๒๖ / ๑๙๗.
              ๔.    พาลา     หเว     นปฺปสํสนฺติ.     ทานํ.
                      คนพาลเท่านั้น     ย่อมไม่สรรเสริญทาน.
                      ขุ. ชา.   ๒๕ / ๓๘.
              ๕.    ททํ     มิตฺตานิ     คนฺถติ.
                      ผู้ให้     ย่อมผูกไมตรีไว้ได้.
                      สํ.   ส.   ๑๕ / ๓๑๖.
              ๖.    ททํ     ปิโย     โหติ     ภชนฺติ     นํ     พหู.
                      ผู้ให้     ย่อมเป็นที่รัก     คนหมู่มากย่อมคบเขา.
                    องฺ.   ปญฺจก.   ๒๒ / ๔๓.
              ๗.    ททมาโน     ปิโย     โหติ.
                      ผู้ให้     ย่อมเป็นที่รัก.
                      องฺ.   ปญฺจก.   ๒๒ / ๔๔.
              ๘.     สุขสฺส  ทาตา  เมธาวี   สุขํ  โส  อธิคจฺฉติ.
                      ปราชญ์ผู้ให้ความสุข     ย่อมได้รับความสุข.
                      องฺ.   ปญฺจก.   ๒๒ / ๔๕.
              ๙.    มนาปทายี  ลภเต  มนาปํ
                      ผู้ให้สิ่งที่ชอบใจ       ย่อมได้สิ่งที่ชอบใจ.
                      องฺ.   ปญฺจก.   ๒๒ / ๕๕.
              ๑๐.   เสฏฺฐนฺทโท     เสฏฺฐมุเปติ     ฐานํ.
                      ผู้ให้สิ่งประเสริฐ     ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ.
                      องฺ.    ปญฺจก.   ๒๒ / ๕๖.
              ๑๑.   อคฺคสฺส  ทาตา  ลภเต  ปุนคฺคํ.
                      ผู้ให้สิ่งที่เลิศ     ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก.
                      องฺ.   ปญฺจก.   ๒๒ / ๕๖.
              ๑๒.  ททโต  ปุญฺญํ  ปวฑฺฒติ.
                      เมื่อให้     บุญก็เพิ่มขึ้น.
              ที.   มหา.   ๑๐ / ๑๕๙.   ขุ.   อุ.   ๒๕ / ๒๑๕.
              ๑๓.  ทเทยฺย     ปุริโส     ทานํ.
                      คนควรให้ของที่ควรให้
                      ขุ.   ชา.   สตตก.   ๒๗ / ๒๑๗.
๒.  ศีลวรรค  คือ  หมวดศีล
              ๑.     สีลํ     ยาว     ชรา     สาธุ.
                      ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จตราบเท่าชรา.
                      สํ.   ส.   ๑๕ / ๕๐
              ๒.     สุขํ     ยาว     ชรา     สีลํ.
                      ศีลนำสุขมาให้ตราบเท่าชรา.
                       ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๕๙.
              ๓.     สีลํ     กิเรว     กลฺยาณํ.
                      ท่านว่าศีลนั่นเทียว    เป็นความดี
                      ขุ.  ธ.   ๒๕ / ๕๙.
              ๔.     สีลํ     โลเก     อนุตฺตรํ.
                      ศีลเป็นเยี่ยมในโลก
                      ขุ.   ชา.   เอก.   ๒๗ / ๒๘
              ๕.     สํวาเสน     สีลํ     เวทิตพฺพํ.                                                
                      ศีลพึงรู้ได้เพราะอยู่ร่วมกัน.
                      นัย-   ขุ.   อุ.   ๒๕ / ๑๗๘.                                                               
              ๖.     สาธุ     สพฺพตฺถ     สํวโร.
                      ความสำรวมในที่ทั้งปวง     เป็นดี.
                      สํ.   ส.   ๑๕ / ๑๐๖.   ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๖๔.
              ๗.     สญฺญมโต     เวรํ     น     จียติ.
                      เมื่อคอยระวังอยู่     เวรย่อมไม่ก่อขึ้น.
                      ที.   มหา.   ๑๐ / ๑๕๙.   ขุ.   อุ.   ๒๕ / ๒๑๕.
              ๘.     สีลํ     รกฺเขยฺย     เมธาวี.
                      ปราชญ์พึงรักษาศีล.
                      ขุ.   อิติ.   ๒๕ / ๒๘๒.
๓. สติวรรค คือ หมวดสติ
              ๑.     สติ     โลกสฺมิ     ชาคโร.
                      สติเป็นธรรมเครื่องตื่นอยู่ในโลก.
                      สํ.   ส.   ๑๕ / ๖๑.
              ๒.     สติ     สพฺพตฺถ     ปตฺถิยา.
                      สติจำปรารถนาในที่ทั้ป   วง.  ว.   ว.
              ๓.     สติมโต      สทา     ภทฺทํ.
                      คนผู้มีสติ  มีความเจริญทุกเมื่อ.   สํ.   ส.   ๑๕ / ๓๐๖.
              ๔.     สติมา     สุขเมธติ.
                      คนมีสติ     ย่อมได้รับความสุข    สํ.   ส.   ๑๕ / ๓๐๖.
              ๕.     สติมโต     สุเว     เสยฺโย.
                      คนมีสติ     เป็นผู้ประเสริฐทุกวัน.  สํ.   ส.   ๑๕ / ๓๐๖.
              ๖.     รกฺขมาโน     สโต     รกฺเข.
                      ผู้รักษา     ควรมีสติรักษา.           ส.   ส.
๔. ปาปวรรค คือ หมวดบาป
              ๑.     มลา   เว   ปาปกา  ธมฺมา   อสฺมึ   โลเก   ปรมฺหิ     จ.
                      บาปธรรมเป็นมลทินแท้  ทั้งในโลกนี้  ทั้งในโลกอื่น.
                      องฺ.   อฏฺฐก.   ๒๓ / ๑๙๘.   ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๔๗.
              ๒.    ทุกฺโข     ปาปสฺส     อุจฺจโย.
                      ความสั่งสมบาป     นำทุกข์มาให้.  ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๓๐.
              ๓.    ปาปานํ  อกรณํ   สุขํ.
                      การไม่ทำบาป     นำสุขมาให้     ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๕๙.
              ๔.     ปาปํ  ปาเปน  สุกรํ.
                      ความชั่วอันคนชั่วทำง่าย. 
                    วิ.   จุล.   ๗ / ๑๙๕.  ขุ.   อุ. ๒๕ / ๑๖๘.
              ๕.     ปาเป  น  รมตี  สุจิ.
                      คนสะอาดไม่ยินดีในความชั่ว.
                      วิ.   มหา.   ๕ / ๓๔.   ขุ.   อุ.   ๒๕ / ๑๖๖.
              ๖.     สกมฺมุนา  หญฺญติ  ปาปธมฺโม.
                      คนมีสันดานชั่ว     ย่อมลำบากเพราะกรรมของตน.
                      ม.   ม.   ๑๓ / ๔๑๓.   ขุ.   เถร.   ๒๖ / ๓๗๙.
              ๗.     ตปสา  ปชหนฺติ   ปาปกมฺมํ.
                      สาธุชนย่อมละบาปกรรมด้วยตปะ.
                      ขุ.   ชา.   อฏฺฐก.   ๒๗ / ๒๔๕.
              ๘.     ปาปานิ     กมฺมานิ     กโรนฺติ     โมหา.
                      คนมักทำบาปกรรมเพราะความหลง.
                      ม.   ม.   ๑๓ / ๔๑๓.   ขุ.   ชา.   ปกิณฺณก.   ๒๗ / ๓๘๐.
              ๙.    นตฺถิ     ปาปํ     อกุพฺพโต.
                      บาปไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ.
                      ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๓๑.
              ๑๐.   ธมฺมํ  เม  ภณมานสฺส  น  ปาปมุปลิมฺปติ.
                      เมื่อเรากล่าวธรรมอยู่     บาปย่อมไม่แปดเปื้อน.
                      ขุ.   ชา.   สตฺตก.   ๒๗ / ๒๒๔.
              ๑๑.   นตฺถิ  อการิยํ  ปาปํ  มุสาวาทิสฺส  ชนฺตุโน.
                      คนมักพูดมุสา     จะไม่พึงทำความชั่ว     ย่อมไม่มี.
                      นัย-   ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๓๘.   นัย -   ขุ.   อิติ.   ๒๕ / ๒๔๓.
              ๑๒.   ปาปานิ  ปริวชฺชเย.
                      พึงละเว้นบาปทั้งหลาย.   ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๓๑.
              ๑๓.  น  ฆาสเหตุปิ  กเรยฺย  ปาปํ.
                      ไม่ควรทำบาปเพราะเห็นแก่กิน.
                      นัย-   ขุ.   ชา.   นวก.   ๒๗ / ๒๖๒.
๕.  ปุญญวรรค  คือ  หมวดบุญ
              ๑.     ปุญฺญํ     โจเรหิ     ทูหรํ.
                      บุญอันโจรนำไปไม่ได้.               สํ.   ส.   ๑๕ / ๕๐.
              ๒.     ปุญฺญํ     สุขํ     ชีวิตสงฺขยมฺหิ.
                      บุญนำสุขมาให้ในเวลาสิ้นชีวิต.     ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๕๙
              ๓.     สุโข     ปุญฺญสฺส     อุจฺจโย.
                      ความสั่งสมขึ้นซึ่งบุญ     นำสุขมาให้.    ขุ.   ธ.   ๒๕ / ๓๐.
              ๔.     ปุญฺญานิ   ปรโลกสฺมึ  ปติฏฺฐา  โหนฺติ  ปาณินํ.
                      บุญเป็นที่พึ่งของสัตว์ในโลกหน้า.
     สํ.   ส.   ๑๕ / ๒๖   องฺ.  ปญจก.   ๒๒ / ๔๔.   ขุ.   ชา.   ทสก.   ๒๗ / ๒๙๔.
              ๕.     ปุญฺญานิ     กยิราถ     สุขาวหานิ
                      ควรทำบุญอันนำสุขมาให้.
                      สํ.   ส.   ๑๕ / ๓.   อง.   ติก.   ๒๐ / ๑๙๘.  

**********

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น